ในโลกยุคสมัยใหม่ มีอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเลี้ยงลูกให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกใช้กันมากมายส่วนใหญ่รถเข็นเด็กก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่มีความสำคัญสร้างความสะดวกให้กับการเลี้ยงลุูกอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน การเลือกซือ รถเข็นเด็กอาจจะเป็นคำถามในใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ได้คะ เพราะในปัจจุบันมีรถเข็นเด็กหลากหลายรูปแบบหลายรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือกเยอะมากจนหลายคนตัดสินใจไม่ถูก แล้วเราจะเลือกรถเข็นเด็กยี่ห้อไหนดีแบบไหนดี เรามีคำตอบข้อแนะนำมาบอกคะ…
อันดับแรกเราควรเลือกรถเข็นเด็กให้เหมาะกับช่วงวัยของเด็ก
รถเข็นเด็ก สำหรับเด็กวัยแรกเกิด
ด้วยรูปแบบและคุณสมบัติที่หลากหลาย จึงทำให้รถเข็นเด็กทุกคันไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในช่วงวัยแรกเกิด หรือเด็กทารกที่ต้องการการดูแลใส่ใจมากเป็นพิเศษ เราจึงควรเลือกรถเข็นเด็กที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้ จะช่วยให้เด็กนอนหลับในรถเข็นเด็กได้อย่างสบายและมีสุขภาพดี
1. เลือกเบาะรองนอนที่ปรับนอนได้ 175 องศา
การเลือกเบาะระดับที่นอนไม่ควรเลือกเบาะรองนอนที่ปรับนอนได้น้อยเกินไปหรือมากเกินได้ แต่ควรเลือกเบาะปรับระดับต่ำสุดได้อย่างน้อย 175 องศา เพราะเด็กทารกมีกิจกรรมหลักคือ การทานนมและนอน เบาะที่ปรับให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย (ในระดับ 175 องศา) จะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะกรดไหลย้อนในเด็กได้ ยิ่งสมัยนี้มีการออกแบบเบาะรถเข็นเด็กตามหลัก Baby Ergonomic Design ทำให้เราสามารถปรับระดับองศาเบาะนอนแบบแยกส่วนตั้งแต่ศีรษะ กลางลำตัวและปลายเท้าได้ ตามพัฒนาการของลูกรัก ทำให้ช่วยปกป้องต้นคอ กระดูกสันหลัง และปลายเท้าได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
รถเข็นเด็กส่วนใหญ่มักนำไปใช้งานนอกบ้านและต้องเจอสภาพพื้นผิวถนนที่ขุขระไม่เสมอกัน การสั่นสะเทือนของรถที่มากไป จะเกิดการเขย่าเราจนทำมืนและเวียนศรีษะได้ ดังนั้นรถเข็นเด็กทีดีควรมีระบบกันกระแทกอย่างดี ที่ช่วยให้การเข็นนุ่มนวลและลดการสั่นสะเทือน ทำให้ลูกรักนอนหลับได้สนิทไม่รู้สึกถูกเขย่าหรือสั่นตลอดเวลา รถเข็นเด็กบางรุ่นอาจมีโช๊คอัพเฉพาะที่บริเวณล้อ บางรุ่นอาจมีเสริมใต้ที่นั่งเพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนอีกระดับหนึ่ง
สำหรับข้อรถเข็นที่ดีต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้ครบครัน ไม่ว่าปุ่มกดล๊อการพับกาง ก้านกันเด็กตก และสายเข็มขัดรัดตัวเด็กเพื่อความปลดภัย อีกทั้งระบบการล๊อกล้อเมือต้องการจอดรถทิ้งไว้นิ่งๆนาน เพื่อป้องกันการไหลของรถ อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเหล่าควรต้องมีมากับตัวรถ
5. หลังคากัน UV ที่คลุมได้มิดชิด
เมือรถเข็นเป็นอุปกรณ์ที่นำไปใช้นอกสถานที่เป็นหลัก อาจต้องเข็็นรถผ่านเเดดที่ร้อน หลังคาบังแดดก็จะเป็นส่วนประกอบสำคัยอีกอย่างหนึ่งที่ต้องิจารณา เพราะเด็กมีผิวบอบบาง และดวงตาที่ยังไม่พร้อมสู้แสงจ้า หลังคาบังแดดที่สามารถคลุมได้มิดชิดจะช่วยปกป้องผิวและดวงตาลูกน้อยจากแสง UV ได้ดี
6. รถเข็นเด็กสามารถปรับเข็นได้ 2 ทิศทาง
พ่อและแม่คือบุคคลที่เด็กให้ความไว้วางใจมากที่สุด เมื่อนำลูกลงนอนในรถเข็นเด็กคุณพ่อคุณแม่ควรอยู่ในตำแหน่งด้านหน้า เพื่อให้ลูกน้อยได้เห็นหน้าตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้ลูกมั่นใจว่าแม้คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อุ้มอยู่แต่ก็ยังอยู่ใกล้ๆ เสมอ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเด็กร้องไห้เพราะไม่ชอบนั่งรถเข็นเด็กโดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเค้าแค่กำลังร้องเรียกหาคุณพ่อคุณแม่ที่หายไปจากสายตาเค้าต่างหาก
7. ระดับความสุงของเบาะรองนั่งนอนในรถเข็นเด็กมีความสูงจากพื้นไม่น้อยไปกว่า 50 ซม.
ระดับเบาะที่นั่งนอนไม่ควรต่ำเกินไปควรมีระดับความสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 50 ซม เพราะจะทำให้เด็กอยู่ไกลจากฝุ่นและสิ่งสกปรกบนพื้นถนนซึ่งเป็นแหล่งของเชื้อโรคได้แล้ว เบาะรองนอนที่สูงยังช่วยให้ลูกน้อยอยู่ห่างจากพื้นที่มีความร้อนสะสมได้อีกด้วย
8 ตัวรถความมีความปลอดโปร่งและมีช่องหน้าต่างระบายความอับชื้นที่หลัง
เนื่่องจากเด็กทารกมีรูขุมขนเล็กและระบบการปรับอุณหภูมิในร่างกายยังทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้การระบายเหงื่อเป็นไปได้ช้า ความร้อนในตัวถูกกักเก็บไว้ใต้ผิวหนังเด็กจึงเหงื่อออกได้มากโดยเฉพาะในเวลานอน บริเวณศีรษะและหลังจึงมักชุ่มเหงื่อตลอดเวลาแม้จะอยู่ในห้องแอร์ก็ตาม รถเข็นเด็กทารกที่ดีควรจะมีช่องระบายอากาศที่หลังเบาะและแผ่นฉนวนกันความร้อนสีเงิน ที่นอกจากจะช่วยระบายเหงื่อจากหลังเด็กเพื่อระบายความอับชื้นแล้วยังช่วยสะท้อนความร้อนจากภายนอกไม่ให้สะสมที่หลังเด็กได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ช่องหน้าต่างด้านบนจะช่วยให้พ่อแม่สามารถเปิดมองเห็นความเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาของเด็กได้ง่ายตลอดเวลา
สมัยนี้มีการคิดค้นเบาะที่เสริมนวัตกรรมพิเศษออกมา รถเข็นเด็กที่ดีจะเลือกใช้เบาะที่ช่วยกระจายแรงกดทับบริเวณหลังทำให้เด็กนอนหลับได้สบาย แต่เนื่องจากเบาะรถเข็นเด็กถูกเย็บอยู่ด้านในของพนักพิง คุณพ่อคุณแม่จะไม่สามารถรู้ได้ว่าวัสดุด้านในเป็นอะไร จึงอาจสอบถามรายละเอียดวัสดุจากผู้ขายเพื่อให้ได้เบาะที่มีคุณภาพ อย่าลืมว่าเด็กทารกไม่สามารถพลิกตัวในรถเข็นเด็กได้ ดังนั้นเบาะที่แข็งหรือนิ่มเกินไปจะทำให้เด็กอึดอัดและเมื่อยล้าเมื่อต้องนอนในท่าเดิมนานๆ การใช้เบาะที่มีคุณสมบัติกระจายแรงกดทับจะช่วยให้ลูกสบายตัวได้มากขึ้น
10. ล้อรถเข็นหมุนได้ 360องศาทั้ง 4 ล้อ
โดยทั่วไปล้อรถเข็นเด็กจะหมุนได้ 360 องศาเฉพาะคู่หน้า ซึ่งถ้าคุณต้องเข็นลูกจากด้านหลังของลูกก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลลูกในวันแรกเกิด การเข็นลูกในตำแหน่งทิศทางปรับหันด้านที่นั่งเข้าหาพ่อแม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่เราควรเลือกรถเข็นเด็กที่มีล้อสามารถหมุนได้ 360 องศาทั้ง 4 ล้อ และสามารถปรับทิศทางเข็นได้ทั้งสองทิศทาง เพราะในความเป็นจริงเราควรปล่อยล้อให้หมุนอิสระเฉพาะล้อคู่หน้า และล๊อกล้อคุ๋หลังไว้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมทิศทางการเข็นได้ตามทิศทางได้ตามปกติ เพราะหากปล่อยฟรีทั้ง 4 ล้อจะทำให้การเข็นไม่เป็นไปตามทิศที่ต้องการได้อย่างปกติ
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกรถเข็น คือ lifestyle ของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งในปัจจุบันมีการออกแบบรถเข็นออกมาหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมถึง 8 รูปแบบ
แบบที่ 1 รถเข็นเด็กแบบ Jogging Strollers
เป็นรถเข็นเด็กที่ออกแบบมาเพื่อคุณแม่นักวิ่งที่ชอบการออกกำลังกาย คือสามารถวิ่งไปพร้อมกับเข็นรถพาลูกไปด้วยกันได้ จุดเด่นของรถเข็นประเภทนี้คือ มีเพียง 3 ล้อ เพื่อลดการต้านลม เพิ่ม Aero Dynamic ได้ดี โดยล้อรถเข็น Sytle นี้จะเป็นล้อยางแบบเติมลม และมีขนาดใหญ่ พร้อม Hand Brake หรือหยุดห้ามล้อที่มือ นอกจากการใช้สำหรับการวิ่งออกกำลังกายแล้วครอบครัวไหนรักกิจกรรมเดินป่า เดินเขาที่ต้องการความสมบุกสมบันก็น่าจะถูกใจในสมรรถนะไม่น้อย แต่รถเข็นเด็กแบบ Jogging Stroller ก็มีข้อเสียคือ ส่วนใหญ่มักเข็นได้ทางเดียว อาจจะไม่ค่อยตอบโจทย์สำหรับเด็กทารกที่ติดคุณพ่อคุณแม่มากๆ เพราะลูกจะไม่เห็นหน้าพ่อแม่เวลาเข็น นอกจากนี้รถเข็นประเภทนี้จะมีโครงที่ใหญ่และแข็งแรงจึงทำให้มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ประมาณ 7-12 Kg.
แบบที่ 2 รถเข็นเด็กแบบ Travel System Strollers หรือ 3-in-1 Stroller
รถเข็นเด็กประเภทนี้จะมีโครงหลักที่สามารถติดอุปกรณ์เสริมเพื่อยึดเข้ากับคาร์ซีทหรือเปล (Bassinet) เพื่อให้คุณแม่สามารถ Mix & Match เปลี่ยนที่นอนที่นั่งของลูกตามช่วงวัยหรือตามความต้องการได้ แต่รถเข็นเด็กประเภทนี้ส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ ล้อใหญ่ แข็งแรงและมีน้ำหนักมาก บางรุ่นเมื่อรวมน้ำหนักรถเข็นเด็กพร้อมอุปกรณ์แล้วอาจหนักถึงเกือบ 20 Kg. นอกจากนี้ในการพับเก็บรถเข็นเด็กแบบนี้ จะต้องถอดคาร์ซีทหรือเปลออกก่อนถึงจะสามารถพับเก็บได้ รถเข็นเด็กประเภทนี้จึงไม่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่มีผู้ช่วยหรือต้องไปกับลูกเพียงลำพังโดยรถส่วนตัวเพราะพื้นที่จัดเก็บอาจไม่เพียงพอ ในต่างประเทศ รถเข็นเด็กประเภทนี้เหมาะกับคนที่บ้านมีพื้นที่จอดรถเข็นกว้างขวางจึงไม่ต้องพับรถเข็นบ่อยๆ และสามารถเข็นรถเข็นออกจากบ้านและใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่มีระบบรองรับคนพิการสามารถเข็นรถเข็นขึ้นลงรถสาธารณะได้เลยก็จะสามารถใช้ได้อย่างคล่องตัว
นอกจากนี้รถเข็นเด็กประเภทนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่เลือกใช้คาร์ซีทแบบกระเช้า (ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด – 12 เดือน) เพราะจะช่วยรองรับน้ำหนักคาร์ซีทและน้ำหนักเด็กได้ดี
แบบที่ 3 รถเข็นเด็กแบบ Lightweight Stroller
เป็นรถเข็นเด็กทารกที่มีจุดเด่นคือ น้ำหนักเบาเพียง 3-7 Kg.เท่านั้นเพราะใช้โครงอะลูมิเนียมเป็นหลัก พับเก็บง่าย สามารถพับเก็บได้ด้วยมือเดียวในเวลาไม่กี่วินาที และเมื่อพับแล้วยังสามารถตั้งอยู่ไม่ล้มกองกับพื้น จึงเหมาะกับคุณแม่ที่เดินทางพร้อมลูกเพียงลำพังด้วยการใช้รถส่วนตัวช่วยให้มีความคล่องตัวได้มาก เพราะสามารถพับเก็บและยกขึ้นลงท้ายรถเองได้ง่าย หรือสำหรับคุณแม่นักเดินทางท่องเที่ยวก็สามารถใช้รถเข็นเด็กแบบนี้เพื่อพาลูกน้อยไปเที่ยวด้วยกันได้ง่าย นอกจากนี้รถเข็นเด็กแบบ Lightweight Stroller ส่วนใหญ่จะเข็นได้ 2 ทิศทางช่วยให้เด็กเห็นหน้าพ่อแม่ได้ตลอดและบางรุ่นจะมีการออกแบบและคุณสมบัติรองรับความต้องการของเด็กวัยแรกเกิดได้เป็นอย่างดี (ดูการเลือกรถเข็นเหมาะกับวัยแรกเกิด)
แบบที่ 4 รถเข็นเด็กแบบ Super Lightweight Stroller
เป็นรถเข็นเด็กที่มีน้ำหนักเบามากๆ เพียง 2-3 Kg. เท่านั้น จึงได้ชื่อว่าเป็นกลุ่ม Super Lightweight ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวที่รักการเดินทางชอบท่องเที่ยวและต้องจัดเตรียมสัมภาระอยู่ตลอดเวลา การใช้รถเข็นน้ำหนักเบาเพียง2-3 kg. จะช่วยให้มีความคล่องตัวเบาแรงโดยเฉพาะเมื่อต้องเดินขึ้นลงบันไดที่ต้องมีการยกรถเข็นขึ้นลง นอกจากนี้รถเข็นแบบ Lightweight Stroller บางรุ่นยังมีการนำนวัตกรรมคลายร้อนมาใช้เพื่อช่วยระบายเหงื่อ ลดความอับชื้นที่หลังของเด็กได้ดี เพราะในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เราต้องอยู่นอกบ้าน อากาศที่ร้อนเกินไปจะทำให้เด็กเหนื่อยล้าหรืออาจไม่สบายได้ง่าย แต่รถเข็นแบบ Super Lightweight Strollerส่วนใหญ่จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ 4 หรือ 6 เดือนขึ้นไป
แบบที่ 5 รถเข็นเด็กแบบ Umbrella Strollers
จุดเด่นที่สังเกตง่ายๆ สำหรับรถเข็นเด็กประเภทUmbrella คือ ที่จับรถเข็นเด็กจะมีลักษณะโค้งเข้าคล้ายก้านร่ม มีขนาดกระทัดรัดเป็นแนวเรียวสูงเหมาะสำหรับพื้นที่จัดเก็บจำกัด น้ำหนักเบาประมาณ 5-7 kg. ใกล้เคียงกับรถเข็นแบบ Lightweight Stroller แต่พับแล้วมีขนาดเล็กกว่าบางรุ่นมีสายสะพายบ่ามาให้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่ข้อเสียของ Umbrella Strollerคือ บางรุ่นที่ออกเบบมาไม่ค่อยดีเมื่อพับแล้วจะไม่สามารถตั้งทรงตัวอยู่ได้ จะต้องวางกองบนพื้นทำให้รถเข็นสกปรกได้ง่าย ดังนั้นจึงควรดูให้มั่นใจว่ารถเข็นเมื่อพับแล้วสามารถตั้งได้เพื่อสุขอนามัยของลูก นอกจากนี้รถเข็นเด็กแบบ Umbrella อาจจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับเด็กทารถแรกเกิดเท่าไรนัก เพราะสามารถเข็นได้ทางเดียว เด็กทารกจะไม่เห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ในขณะนั่งในรถเข็นก็อาจเป็นปัญหาได้
แบบที่ 6 รถเข็นเด็ก 2 ที่นั่ง แบบ Side-by-Side Stroller
สำหรับครอบครัวที่มีลูกแฝดการใช้รถเข็นเด็กแฝด จึงเป็นสิ่งจำเป็นช่วยให้คุณแม่สามารถพาลูกออกไปนอกบ้านได้ง่าย แต่เนื่องจากรถเข็นเด็กแฝดส่วนใหญ่จะต้องรองรับเด็กถึง 2 คนในคันเดียวกัน จึงมีขนาดใหญ่หน้ากว้างเป็น 2 เท่าของรถเข็นเด็กปกติประมาณ 80-90 cm.จึงอาจทำให้ใช้เดินเที่ยวในพื้นที่จำกัดอย่างตามห้างสรรพสินค้าหรือเข้าลิฟท์เล็กๆ ลำบาก นอกจากนี้รถเข็นเด็กแฝดจะมีนำ้หนักมากประมาณ 8-14 kg. และมักไม่ค่อยมีฟังค์ชั่นที่รองรับเด็กแรกเกิดซักเท่าไร เช่นในการใช้งาน คุณแม่จะต้องเข็นจากทางด้านหลังเด็กเท่านั้น หลังคารถส่วนใหญ่จะไม่สามารถปิดได้มิดชิด บางครอบครัวที่มีพี่เลี้ยงหรือออกไปนอกบ้านพร้อมกันหลายคนอาจเลือกใช้รถเข็นเด็กแบบ Lightweight Stroller 2 คันแทนรถเข็นแฝด เพื่อการใช้งานสำหรับลูกวัยแรกเกิดได้ดีกว่า มีความคล่องตัวกว่าสามารถเข็นเดินในห้างได้สะดวกกว่า เข้าลิฟท์ง่ายและที่สำคัญน้ำหนักรถเข็นเด็ก Lightweigt Stroller 2 คันรวมกันแล้วยังเบาและประหยัดพื้นที่กว่ารถเข็นเด็กแฝด นอกจากนี้การใข้รถเข็นเด็ก 2 คันก็ให้ความสะดวกในเวลาที่เด็ก 2 คน ต้องเดินทางแยกไปกันคนละที่รวมถึงในกรณีที่อาจจะพาลูกไปข้างนอกแค่คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็นเด็กคันใหญ่ที่มี 2 ที่นั่ง
แบบที่ 7 รถเข็นเด็กแฝด แบบ Double Tandem Stroller
อีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับครอบครัวที่มีลูกแฝด คือการเลือกใช้รถเข็นเด็กแฝด 2 ที่นั่งแบบหน้าหลัง ซึ่งก็อาจเป็นตัวเลือกสำหรับครอบครัวที่มีลูกไล่เลี่ยกัน 2 คน และเพราะตำแหน่งนั่งคนหน้ามักจะไม่สามารถปรับนอนได้มากในขณะที่ตำแหน่งหลังจะสามารถปรับนอนได้มากกว่า จึงทำให้บางครั้งเราเรียกรถเข็นเด็กแบบนี้ว่า รถเข็นพี่น้อง สำหรับข้อดีของรถเข็นเด็กแบบ Double Tandem Stroller คือลดข้อจำกัดเรื่องการใช้ในห้างเช่นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นทางเดินแคบได้ แต่ก็อาจจะยังติดปัญหาในการเข้าลิฟท์อยู่บ้าง และเนื่องจากเป็นการนั่งเรียงตอนลึกตำแหน่งเด็กที่นั่งข้างหลังก็อาจจะเตะหลังคนข้างหน้า รวมถึงเด็กจะแย่งกันนั่งข้างหน้าเพราะเห็นวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า นอกจากนั้นการอุ้มเด็กเข้าออกรถเข็นเด็กแบบนี้ก็ทำได้ยากเช่นกัน
เลือกรถเข็นเด็กจากโครงสร้างวัสดุและการประกอบพับเก็บ
ซึ่งจะมีปัจจัยพิจารณาหลักที่สำคัญอยู่ 3 อย่างคือ ความแข็ง น้ำหนัก ขนาดพับเก็บ สะดวกต่อการใช้งานและการเคลือนย้าย
- โครงสร้างรถเข็นเด็กที่ใช้วัสดุส่วนประกอบเป็นพลาสติกมากเกินไปจะไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะจุดเชื่อมต่อต่างๆ
- โครงสร้างทำจากเหล็กจะแข็งแรกแต่ก็จะต้องแลกด้วยน้ำหนักที่มากกว่าปกติ ไม่สะดวกกับการใช้ขึ้นเครืองเดินทาง แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่โครงสร้างจะทำจากอลูมิเนียมซึงจะมีน้ำหนักเบากว่าแต่ยังคงความแข็งแรงได้ดี แต่โครงสร้างอลูมิเนียมเคลือบพิเศษจะสามารถช่วยป้องกันสารพิษที่จะเกิดกับเด็กได้
- รถเข็นเด็กยิ่งพับเล็กมีน้ำหนักเบา แต่เนื่องจากเน้นขนาดที่เล็ก อาจมีข้อจำกัดในเรื่องการใช้งานซึ่งขี้นกับขนาดร่างกายของเด็กและน้ำหนักของเด็กเป็นที่ตั่ง ดังนั้นจึงควรเลือกรถเข็นเด็กที่ขนาดพอดี ตอบโจทย์วัตถุประสงค์การใช้งานของเราให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการใช้งานในอนาคตไม่ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อยเกินความจำเป็น
คุณสมบัติอื่นๆที่อาจพิจารณาเพิ่มเติมนอกจากรูปแบบความสวยงาม
- สามารถถอดซักทำความสะอาดได้สะดวก
- สามารถนำเข้าซักเครื่องซักผ้าได้
- พื้นที่ใส่ของด้านล่าง ขนาดใหญ่ช่วยให้ใส่ของได้มาก
- ราคาขายต่อ
- การรับประกันและการบริการหลังการขาย สาขาที่รองรับในการให้บริการ รวมถึงความพร้อมของทีมงานและอะไหล่ทดแทน